ot8tได้ยินครูในคลาสบอก “ฟังเสียงร่างกายของตัวเอง” เท่าที่จำได้ มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ในตอนนั้น อาจเป็นเพราะความไม่เข้าใจหลาย ๆ อย่าง และไม่อินกับวลีสวยงาม ทว่าด้วยประสบการณ์ฝึกจากดีตถึงปัจจุบัน ก็เปลี่ยนไป
/ “ฟังเสียงร่างกายของตัวเอง” หมายถึงอะไร / โดยส่วนตัวแล้ว “ฟังเสียงร่างกายของตัวเอง”หมายถึง การรับรู้สัญญาณทางกายภาพที่ร่างกายส่งถึงตัวเรา โดยเฉพาะระหว่างออกกำลังกาย เป็นการเคารพร่างกายตัวเอง ไม่ว่าจะผลักดันตัวเองให้มากขึ้น หรือ ลดระดับลง ใส่ใจกับความรู้สึกของร่างกาย เคารพขีดจำกัด และเราปรับเปลี่ยนตามนั้น เพื่อจะได้ไปถึงสภาวะที่เหมาะกับตัวเองที่สุดในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งสภาวะนี้ ล้วนเปลี่ยนแปลง เพราะร่างกายเราเปลี่ยนไปเสมอ จริง ๆ แล้ว เบื้องหลังแนวคิด "การฟังร่างกายตัวเอง" ก็มีข้อมูล ปัจจัยต่าง ๆทั้งด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา สรีรวิทยา และจิตวิทยา มารองรับอยู่ / Biofeedback / ปกติร่างกายจะส่งสัญญาณไปที่สมองอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับสถานะและความต้องการของร่างกาย เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจ ความตึง ความหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อ ความรู้สึกไม่สบายที่ข้อต่อ ถ้าเรารับรู้ ใส่ใจกับสัญญาณเหล่านี้ ก็จะช่วยให้เราแยกแยะได้ว่า ความรู้สึกไม่สบายที่นั้น มาพร้อมกับการก้าวข้ามขีดจำกัดอย่างปลอดภัย หรือ การบาดเจ็บหรือการออกแรงมากเกินไป เราควรต้องลด หรือ เพิ่มความเข้มข้น เพื่อรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เหมาะสม ซึ่งก็จะช่วยป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้ / สภาวะสมดุล / ร่างกายคนเราพยายามรักษาสภาวะสมดุลอยู่เสมอ เมื่อเราออกกำลังกาย ระบบต่างๆ จะทำงานร่วมกันเพื่อควบคุมปัจจัยต่างๆ เช่น อุณหภูมิ ความดันเลือด ความสมดุลของน้ำและเกลือแร่ และระดับพลังงานให้อยู่ในภาวะที่สมดุล การฟังเสียงร่างกาย จะช่วยให้เรารับรู้เมื่อระบบเหล่านี้อยู่ภายใต้ความเครียดหรือความไม่สมดุลและปรับให้ร่างกายกลับมาให้สมดุลอีกครั้ง / ความแตกต่างระหว่างบุคคล / ร่างกายของทุกคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ระดับสมรรถภาพ ความบกพร่องทางพันธุกรรม และกลไกการตอบสนองต่อการออกกำลังกายที่แตกต่างกัน สิ่งที่ท้าทายสำหรับคนคนหนึ่งอาจจะสบาย ๆ สำหรับอีกคนหนึ่งก็เป็นได้ การฟังร่างกายตัวเอง หมายถึงการเข้าใจ เคารพข้อจำกัด และความสามารถทางร่างกายของเรา แทนที่จะเปรียบเทียบกับคนอื่น / การคอนเนคระหว่างจิตใจและร่างกาย / การออกกำลังกายที่ควบคุมลมหายใจไปกับการเคลื่อนไหว ช่วยการแลกเปลี่ยนก๊าซดีขึ้น ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สมองสงบ ใจโฟกัสไปที่การเคลื่อนไหว ทำให้เกิดสมาธิ ช่วยตัดความคิดอื่น ๆในหัวออกไปไป มีสติในปัจจุบันขณะ ช่วยให้เรารับรู้สัญญาณที่ร่างกายต้องการสื่อได้ชัดขึ้น ซึ่งช่วยให้เราออกกำลังกายได้ตรงจุด และเห็นผลลัพธ์ / ฟังเสียงร่างกายของตัวเอง ช่วยอะไรได้บ้าง / ฟังเสียงร่างกายตัวเอง แล้วใช้สัญชาตญาณของเราเลือกที่จะทำตามหรือไม่นั้น บางครั้งก็เป็นเรื่องคลุมเครือ แต่ทำได้ก็ดี... อย่างน้อยที่สุด การที่เราตั้งใจทำอะไรในปัจจุบันขณะ ฟังเสียงร่างกายตัวเอง ก็เป็นโมเม้นท์หนึ่งของวัน ที่เรา“ใช้ชีวิตที่ละเอียดขึ้น มีสติขึ้น และพิจารณามากขึ้น” ป้องกันการบาดเจ็บ การใส่ใจกับสัญญาณต่างๆ เช่น ความเจ็บปวด ความรู้สึกไม่สบาย หรือความเหนื่อยล้า ช่วยให้เราเลี่ยงการผลักดันตัวเองเกินขีดจำกัด ความเสี่ยงของการบาดเจ็บก็น้อยลง ผลลัพธ์ของการทำบ่อย ๆ คือ ความเข้าใจในความสามารถและข้อจำกัดทางกายภาพของตัวเรา เช่นเดียวกับ ฟอร์มการออกกำลังกายที่ดีขึ้น คนที่รู้สึกตัวในการเคลื่อนไหวและร่างกาย จะช่วยให้คน ๆ นั้น รักษา ท่า และฟอร์มได้ ฟอร์มที่ดีไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพของการออกกำลังกายให้สูงสุดเท่านั้น ลดโอกาสที่จะเกิดความเสียหายกับร่างกาย และเป็นกรอบสำคัญให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและข้อต่ออยู่ในแนวที่ถูกต้อง ออกกำลังกายครั้งต่อ ๆ ไป ก็ลองช้าลงซักนิด และลองฟังดูว่าร่างกายส่งสัญญาณอะไรกับเราบ้างนะคะ
0 Comments
กันไว้ก่อน ย่อมดีกว่ามาแก้ไขภายหลัง ไม่มีใครอยากอยากเจ็บตัว โดยเฉพาะอุบัติเหตุ เมื่อสิ้นปีที่ผ่าน เพื่อนบางคนจะทราบรถของอุ๋มเกิดอุบัติเหตุไถลตกเขา รถถูกยกกลับเข้าเมือง แผนกับเพื่อนถูกพับไปโดยปริยาย
ส่วนตั้งแต่สมอง กระดูกต้นคอ จนถึงกระดูกนิ้วเท้า ยังเรียงตัวอยู่ดี ไม่ขาดไม่เกิน ก็คงอคติเกินไป หากบอกว่า ที่ร่างกายยังโอเค เพราะฝึกพิลาทิส เพราะแท้จริงแแล้ว คงมีหลายปัจจัย ไม่ว่า ความเร็ว แรงกระแทก จังหวะมุมรถกับต้นไม้ที่ชน เข็มขัดนิรภัย สติ และโชคของตัวเองก็เป็นได้ แม้จะเซ็ง ๆ กับเรื่องวันนั้น แต่มันผ่านไปแล้ว และอยากให้คนที่ได้อ่านบทความนี้ เชื่อเถอะว่า พิลาทิส ช่วยลดโอกาสและความเสี่ยงที่จะบาดเจ็บ ได้จริง และเป็นที่ยอมรับโดยเฉพาะในวงการกีฬาต่างประเทศ / เพราะพิลาทิสทำให้กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวชั้นในสุดแข็งแรง / กรณีที่เกิดอุบัติเหตุ เช่น หกล้ม หรืออุบัติเหตุทางรถยนต์ อย่างที่เกิดขึ้นกับตัวอุ๋ม กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวของเราจะ “ทำงานอัตโนมัติ” เหมือนเกราะป้องกันตัว ที่จะช่วยปกป้องร่างกายและกระดูกสันหลังจากแรงกระแทก โดยเฉพาะส่วนหลังล่าง ในทางตรงกันข้าม ถ้ากล้ามเนื้อชุดนี้อ่อนแอ เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ร่างกายจะพึ่งพาโครงสร้างอื่นที่ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อตอบสนองการพยุงนี้ เช่น ระบบเส้นเอ็นและข้อต่อ ซึ่งอาจทำให้เส้นเอ็นฉีกขาดได้ หรือ กระดูกสันหลังก็จะรับแรงกระแทกมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้กระดูกเคลื่อนออกจากแนวได้ ซึ่งส่วนตัวอุ๋ม ส่วนที่กังวลส่วนแรก คือ กระดูกต้นคอ ดังนั้น แกนกลางที่แข็งแกร่ง ร่วมกับการ activate โดยสัญชาติญาณ ช่วยลดระดับความเสียหายกับร่างกายได้ไม่มากก็น้อย เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ฉุกเฉินแบบนี้ แต่ถ้าเราเป็นนักกีฬา แกนกลางลำตัวที่แข็งแรงจะเป็นเหมือนจุดศูนย์ถ่วง ที่มั่นคง ช่วยให้กล้ามเนื้อชั้นนอกทำงานได้อย่างมีพลัง ทำให้ performance ดี ควบคู่ไปกับการป้องกันการบาดเจ็บที่เกิดจากความสมดุลของการใช้กล้ามเนื้อและการทรงท่า ถ้าเป็นภาวะปกติ และนั่งทำงานออฟฟิศ ขับรถบ่อย ๆ ถ้ากล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวอ่อนแอ กระดูกสันหลังส่วนเอวมีแนวโน้มที่จะทรุดตัวลง เกิดแรงกดระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละข้อมากขึ้น เวลาผ่านไป อาจทำให้หมอนรองกระดูกเคลื่อนออกมา และไปแตะกับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวดร้าวได้ ถ้าเราออกกำลังกายด้วยพิลาทิสอย่างถูกต้อง และเหมาะสมกับสภาพร่างกายของเรา กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวจะแข็งแรง ปรับสภาพกล้ามเนื้อให้สมดุลย์ แนวกระดูกสันหลังถูกเรียงตัวและ และรองรับอย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่เราจะมีการอาการเจ็บปวด และปัญหาเกี่ยวกับท่าทาง / เพราะพิลาทิสเน้นทั้งความมั่นคงและความคล่องตัว / ร่างกายที่ทำงานได้ดีที่สุด ต้องมีทั้งความเสถียร ความยืดหยุ่น และความคล่องตัวของข้อต่อ อุ๋มยกตัวอย่างแบบเห็นภาพง่าย ๆ ลองนึกถึง นักกีฬาเทนนิส จะต้องมีความแข็งแรง กับความเสถียรในระดับที่ใกล้เคียงกันของกลุ่มกล้ามเนื้อหน้าอก หัวไหล่ และสะบัก ขณะเดียวกัน แขนก็ต้องมีความคล่องตัว ถ้าหัวไหล่อ่อนแอหรือไม่มั่นคง เวลาผ่านไป ก็มีโอกาสบาดเจ็บที่เอ็นกล้ามเนื้อข้อศอกด้านนอก หรือ Tennis Elbow ที่แม้กระทั่งผู้ที่ชอบตีกอล์ฟก็เป็น หนึ่งในสาเหตุนั้น ก็คือ การกระแทกที่ "บิดงอ" เพราะกล้ามเนื้อสะบักไม่มีความมั่นคง เมื่อเจอแรงกระแทกบ่อย ๆ ซำ้ ๆ ก็ส่งผลกับข้อศอกและข้อมือ อย่างไรก็ตาม หากกลุ่มกล้ามเนื้อชุดนี้ มีแต่ความมั่นคงจนขยับได้ไม่เต็มองศา นักเทนนิสก็ไม่สามารถยกแขนเหนือศีรษะ ให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อเสิร์ฟลูกแบบเต็มพลังได้ ดังนั้น การที่พิลาทิส ให้ความสำคัญทั้ง ความแข็งแรง ความมีเสถียรภาพ ความยืดหยุ่น และความคล่องตัว จึงช่วยลดความเสี่ยงที่จะบาดเจ็บจากความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อ รูปแบบการเคลื่อนไหวที่ไม่ดี และข้อจำกัดของข้อต่อได้ สุดท้ายนี้ การไม่มีโรค คือ ลาภอันประเสริฐ อุบัติเหตุบางอย่างป้องกันได้ถ้าเรารอบคอบ ดังนั้น ถ้าไหน ๆ เราจะต้องลงทุน ลงเวลา ออกกำลังกายแล้ว จะเป็นการดีกับร่างกายมั้ย ถ้าเราจะหันมาลองฝึกพิลาทิสอย่างถูกต้อง หรือเสริมด้วยพิลาทิส ในระยะสั้น ๆ เราอาจจะเห็นผลลัพธ์บางอย่าง แต่ถ้าเราฝึกไปเรื่อย ๆ ผลลัพธ์ย่อมทวีคูณและเป็นประโยชน์กับร่างกายมากกว่าที่เราคิดไว้คะ ลองฝึกพิลาทิสด้วยตัวคุณเองก่อน อุ๋มแนะนำฝึกกับอุ๋มที่ BaanPilates บนยูทูปค่ะ ฟรี อุ๋มไปช้า และให้รายละเอียดเยอะ แต่อยากให้ทุกคนเอาไปใช้ process กับการฝึก และคุณจะได้รับผลลัพธ์และประโยชน์สูงสุดกับร่างกายตัวเองค่ะ Abs and Core workout คำสองคำ ที่ไม่เคยแยกชัด ใช้สลับกันบ้างก็มี ใช้คู่กันบ้างก็เห็น บางคนหลงเข้าใจว่า ฝึกอะไรก็ตามที่เน้นไปที่ส่วนกลางของร่างกาย ก็ได้หน้าท้องและแกนกลางลำตัว จะได้อะไร บางคนก็ไม่แคร์ แต่ในความจริง ทั้ง สองสิ่งนี้ต่างกันและให้ประโยชน์ต่างกันด้วยนะคะ
2 อย่างนี้ แตกต่างกันยังไง ? Abs Exercise หรือฝึกกล้ามเนื้อท้อง จะโฟกัสไปการเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลัง เช่น การโค้งตัวมาด้านหน้า การโค้งไปด้านข้าง และการบิดลำตัว ซึ่งการออกกำลังกายที่มีมูฟท์เม้นท์เช่นนี้ ทำให้กล้ามเนื้อท้องชั้นนอกที่ชื่อ Rectus Abdominis เป็นกล้ามเนื้อที่วางตัวแนวตั้ง กลางหน้าท้อง เข้ามาทำงานในการโค้งงอลำตัวมาด้านหน้า หรือถ้าเราต้องการบิด หรือ โค้งตัวด้านข้าง ก็ใช้กล้ามเนื้อท้องชั้นกลางที่เส้นของกล้ามเนื้อจะวางแบบเฉียง ๆ รวม ๆ เรียกว่า Obliques เข้ามาใช้ ส่วน Core Exercise หรือฝึกแกนกลางลำตัว จะเป็นการฝึกความเสถียร หรือความมั่นคงของแกนกลางลำตัว ต้านการเคลื่อนไหวจากทิศทางต่าง ๆ การฝึก Core Exercise นี้ เป็นการฝึกทั้งกล้ามเนื้อท้องชั้นนอก (Rectus Abdominis) ชั้นกลาง ( กลุ่มของ Obliques) และรวมถึง กลุ่มกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวชั้นด้านในสุด ที่ทำหน้าที่ในการสร้างความเสถียรให้กับกระดูกสันหลัง และกระดูกเชิงกราน กล้ามเนื้อกลุ่มนี้ประกอบด้วย กล้ามเนื้อท้องมัดลึกสุด (Transverseus abdominis) กล้ามเนื้อที่ยึดโยงกระดูกสันหลังแต่ละข้อให้เรียงตัวต่อกันชั้นลึกสุด (Multifidus) กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic floor) และกล้ามเนื้อกระบังลม (Diaphragm) อุ๋มเคยเขียนบทความแกนกลางมีอะไรบ้าง กลับไปอ่านที่ลิงก์นี้ค่ะ https://www.weebly.com/editor/main.php#/ คนที่มี 6 แพ็ค แปลว่า เขาก็มีแกนกลางลำตัวแข็งแรงด้วยซิ ? จริงอยู่ คนที่มีซิกแพ็คอาจดูเหมือนมีแกนกลางลำตัวที่แข็งแรง กว่าคนที่ไม่มี แต่มันไม่จำเป็นเสมอไป เพราะมีเหตุและปัจจัยอื่นมาเกี่ยวข้อง เช่น เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายของคนนั้นต่ำพอ ที่จะทำให้มองเห็นเส้นใยกล้ามเนื้อได้ ฝึกแบบไหนดีกว่ากัน ? แล้วเราออกกำลังกายเพื่ออะไร ถ้าเราต้องการสร้างกล้ามเนื้อที่ใช้งานได้ในชีวิตจริง มองไปในวันข้างหน้าเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี อุ๋มคิดว่า เราต้องมีทั้ง 2 อย่าง คือ ทั้งความเสถียร และการเคลื่อนไหวของข้อต่อที่ควรไปได้ตามที่ธรรมชาติสร้างไว้ให้ กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวหรือ Core muscles ไม่ใช่แค่ด้านหน้าท้อง หรือด้านข้าง แต่มันอยู่ตรงกลาง เหมือนกล่องสี่เหลี่ยมที่มีฝาปิดวางตัวอยู่ที่ศูนย์กลางร่างกาย ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อชุดนี้ จึงส่งผลต่อการใช้ร่างกายพอสมควรทีเดียวค่ะ ถ้ากล้ามเนื้อชุดนี้แข็งแรงอย่างสมดุล ก็จะช่วยให้เรายืนตัวตรง หลังไม่ค่อม ท้องไม่ยื่น สะโพกไม่ล้ำหน้า หรือก้นไม่โด่ง ทรงท่าทางได้ดี กลุ่มแกนกลางที่แข็งแรงช่วยให้เราทรงตัวได้ดีเวลาที่เราเคลื่อนไหวและเพิ่มพลังในเกมกีฬาต่าง ๆ เช่น วิ่ง ปั่นจักรยาน ขี่ม้า ช่วยควบคุมกล้ามเนื้อหน้าท้อง ลดโอกาสที่จะเกิดอาการปวดหลัง โดยเฉพาะหลังส่วนล่าง และช่วยพยุงป้องกันอวัยวะภายในช่องท้องของเราด้วย เราสามารถฝึกหน้าท้องได้ โดยที่ recruit กล้ามเนื้อแกนกลางตัวด้วยในเวลาเดียวกัน หรือแม้กระทั่งฝึกอย่างอื่นที่ไม่ใช้หน้าท้อง อย่างพวก Squat หรือ Bicep Curls เราก็ใส่เรื่องของแกนกลางเข้าไปได้เช่นกัน เพราะนอกจากจะช่วยรักษาฟอร์มการเคลื่อนไหวแล้ว ยังช่วยให้หน้าท้องทำงานเพิ่มขึ้นด้วย แม้กระทั่งตัวอุ๋มเองในการฝึก Barre exercise อุ๋มก็ใช้ Core เข้ามาร่วมด้วย เพราะ ถ้าแกนกลางลำตัวของเรามีความเสถียรแล้ว จะช่วย ทำให้เราแยกกล้ามเนื้อในส่วนที่ต้องการใช้ได้อย่างตรงจุด การฝึกของเราก็จะเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน ไม่เสียเวลา ไม่เสียเหงื่อเปล่า ๆ ร่างกายไม่พร้อม! ! เราควรต้องรู้ว่า ตัวเรามีคอนดิชั่นทางร่างกายอะไรอยู่ ตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีอาการปวดหลังเรื้อรัง กล้ามเนื้อหลังเฉียบพลัน หรือปวดจากเส้นหรือระบบประสาทที่มักมี อาการปวดเสียว ปวดร้าว ปวดชา หรือ เป็นหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท หรือผู้หญิงหลังคลอด ที่อาจมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่ค่อยได้ หรือปัสสาวะเล็ดเวลาออกกำลังกายหนัก ๆ หรือภาวะกล้ามเนื้อหน้าท้องแยก ซึ่งที่จริงแล้ว ภาวะหน้าท้องแยกนี้ ผู้ชายก็เป็นได้ กลุ่มคนเหล่านี้ อย่าเลือกที่ “ฝึก” ตามๆเขาไป เพราะผลลัพธ์ที่ได้อาจสวนทาง ควรเริ่มที่การสร้างความแข็งแรงให้แกนกลางลำตัวก่อน เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงในการรับนำ้หนักตัว ช่วยให้ทรงท่า ทรงตัวได้ ยังสอนให้ร่างกายรู้จักการใช้เส้นใยกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น เพิ่มการรับรู้และการทำงานของกล้ามเนื้อ จากนั้น ยังเป็นการเทรนสมองให้มีเวลารู้สึกถึงสิ่งที่กำลังพยายามทำจริงๆ การสร้างความแข็งแรงของแกนกลางลำตัว จะตอบสนองได้ดี ถ้าเราฝึกหลากหลาย ทำบ่อย ๆและต่อเนื่อง ไม่ใช่การทำท่าเดิมๆ เป็นประจำ อุ๋มจึงฝึกทั้ง Pilates Matwork, Pilates แบบใช้เครื่องต่าง ๆ , การฝึก Bodyweight, การฝึก Barre, การฝึก TRX แต่ทั้งปวงแล้ว อุ๋มใช้แกนกลางลำตัว เป็นส่วนสำคัญ ของทุกการ เคลื่อนไหว อุ๋มเองก็อยากให้ทุกคนออกกำลังกายปลอดภัย เมื่อลงมือ ลงเวลา และความพยายามไปแล้ว ก็อยากให้สิ่งที่ทำไปนั้น สะสมดอกและผล และแตะเป้าหมายที่คุณตั้งใจไว้ค่ะ ฝึกแกนกลางในแบบ Barre exercise คลิกลิงก์นี้ได้เลยค่ะ --> https://youtu.be/KxI0RdR27Kc?si=ILudidnXF5XIhECd ฝึกแกนกลางในแบบ Bodyweight exercise คลิกที่ลิงก์ นี้ ไปฝึก Baanpilates -->https://youtu.be/4LsHI_WvtlM?si=ALJzqiB4HCERXWoK ฝึกพิลาทิสบนเสื่อ กับ พิลาทิสรีฟอร์มเมอร์ แบบไหนดีกว่ากัน ?
พิลาทิสคือการออกกำลังกายแบบไหนกันแน่ หลายคนสับสน มีตั้งแต่ห้อยโหนบนบาร์ ใช้เก้าอี้ ใช้เครื่อง หรือใช้แค่เสื่อออกกำลังกาย ความหลากหลายของพิลาทิสดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด บทความนี้จะพูดถึง พิลาทิสบนเสื่อ กับ พิลาทิสรีฟอร์มเมอร์ เพราะเป็นเรื่องที่คนถามกันบ่อย พิลาทิสบนเสื่อ อุ๋มขอเรียกว่า แมทเวิร์ค(Matwork)เพราะถนัดกว่า แมทเวิร์คเป็นพื้นฐานพิลาทิส ใช้น้ำหนักตัวของเราต้านทานแรงโน้มถ่วง ทำให้การออกกำลังกายท้าทายขึ้นในหลายกรณี เราต้องควบคุมร่างกายได้อย่างเต็มที่ แทนที่จะอาศัยตัวช่วยอย่างสปริง หรือการดึงเชือก ดังนั้น พิลาทิสแมทเวิร์ค จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่เน้นการเรียนรู้วิธีควบคุมกล้ามเนื้อระหว่างออกกำลังกาย และนั่นก็เข้าข่าย precision และ control 2 ใน 6 หลักการของพิลาทิสแล้ว แมทเวิร์คที่ว่าเป็นพื้นฐานของพิลาทิสจึง ไม่ได้แปลว่า ง่าย แต่มันคือ รากและฐานที่ควรมี อาคารสูงใหญ่ยังวิบัติได้ ถ้าฐานรากอย่างเสาเข็มหัก หรือไม่ได้ศูนย์ หรือก่อสร้างเร็วเกินไป เช่นเดียวกับการฝึกร่างกายที่เราควรมีพื้นฐานที่ดี ออกกำลังกายอย่างปลอดภัย ไม่บาดเจ็บระหว่างทาง ซ้ำร้ายกว่านั้น :) แมทเวิร์คที่เป็น Advance นั้นก็ยากสุด ๆ เพราะต้องใช้และควบคุมร่างกายแทบจะทุกส่วนตลอดเวลา ถึงเราจะดูว่า การเล่นพิลาทิสบนเสื่อ น่าเบื่อ ไม่ตื่นเต้นเหมือนฝึกรีฟอร์มเมอร์ แต่ด้วย ระยะเวลา ที่หลายคน หลายประเทศทั่วโลกนิยมฝึกแมทเวิร์คกันมา ย่อมทำให้เห็นแล้วว่า พิลาทิสแมทเวิร์คให้ผลลัพธ์ทั้งในความแข็งแกร่ง ท่าทาง ความคล่องตัว ความยืดหยุ่น และกล้ามเนื้อกระชับขึ้น พิลาทิสบนรีฟอร์มเมอร์ รีฟอร์มเมอร์ (Reformer) เป็นอุปกรณ์พิลาทิส (อ่านความเป็นมาของ เครื่องพิลาทิส ได้ที่ลิงก์นี้) หลัก ๆ จะมีโครงสร้างที่คล้ายเตียงแต่ว่าเตี้ยกว่า มีเบาะที่เลื่อนได้ อยู่ตรงกลาง มีสปริง รอก เชือก แต่ละส่วนสามารถปรับให้มีแรงต้านมากหรือน้อยหรือรองรับความสูงที่แตกต่างกันได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล ความหนัก /เบาของสปริง เอามาปรับใช้สร้างแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อกลุ่มใหญ่ขึ้น หรือเอามาชาเล้นจ์เรื่องการทรงตัว จากประสบการณ์ในการสอนลูกค้ากลุ่มฟื้นฟู หรือ post rehab อย่างกลุ่มที่ผ่าตัดหรือบาดเจ็บที่หัวเข่า รีฟอร์มเมอร์ช่วยให้ลูกค้ากลุ่มนี้ ออกกำลังกายในระนาบแนวนอนได้ ไม่ต้องรับนำ้หนักในแนวตั้ง ทำให้การเสริมสร้างกล้ามเนื้อขาผ่านการเคลื่อนไหวที่หลากหลายมากขึ้น โดยใช้ความต้านทานที่เบากว่าน้ำหนักตัวเอง การเคลื่อนไหวด้วยการคอนโทรลกล้ามเนื้อที่ควรจะใช้ ทำให้คนกลุ่มนี้ฟื้นฟูได้เร็วขึ้น อีกตัวอย่างหนึ่งคือ กลุ่มคนที่เป็นกระดูกสันหลังคด บางท่าฝึกแมทเวิร์คได้ยาก ก็ใช้รีฟอร์มเมอร์ ทำให้องศาการเคลื่อนไหวไปได้มากขึ้น อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ความเข้าใจผิดที่เจอบ่อย ๆ คือ แมทเวิร์ค ง่าย กว่ารีฟอร์มเมอร์ ซึ่งมัน ไม่จริงซะทีเดียว ตรงข้ามเลย แมทเวิร์คยิ่ง Advance (ที่จะยิ่งเห็นผลลัพธ์เร็วขึ้น) ยิ่งชาเล้นจ์มาก แล้วฝึกพิลาทิสแบบไหนดี ? จะ แมทเวิร์ค หรือ รีฟอร์มเมอร์ นั่นเป็น “เพียงองค์ประกอบหนึ่ง” แต่ “องค์ประกอบสำคัญ” ของพิลาทิส ที่ อยากจะบอกนั่นคือ ด้วยระบบและหลักการของพิลาทิส จะช่วยให้เรามีร่างกายแข็งแรง สมดุล กล้ามเนื้อสวยงาม ลีนกระชับพร้อมความยืดหยุ่น มีข้อต่อคล่องตัว การประสานงานของประสาท กล้ามเนื้อและข้อต่อดีขึ้น ดังนั้น เลือกในสิ่งที่ตรงกับเป้าหมาย, ความชอบส่วนตัว, งบประมาณ และขอให้เป็น"สิ่งที่ทำได้สม่ำเสมอและต่อเนื่อง" (เรื่องง่ายทำได้ยาก) ลองฝึกพิลาทิสด้วยตัวคุณเองก่อน อุ๋มแนะนำฝึกกับอุ๋มที่ BaanPilatesบนยูทูป ค่ะ ฟรี อุ๋มไปช้า และให้รายละเอียดเยอะ แต่อยากให้ทุกคนเอาไปใช้ process กับการฝึก และคุณจะได้รับผลลัพธ์และประโยชน์สูงสุดกับร่างกายตัวเองค่ะ ไปช่อง BaanPilates คลิกที่ลิงก์นี้ค่ะ https://www.youtube.com/channel/UCJR-9mVu07tQamdLHMFMNBQ ถ้าอยากฝึกแบบส่วนตัว บรรยากาศชิลล์หน่อย ก็มาได้ ที่ The Pilates Barn Chiang Mai มาม่วน ๆ แต่ได้กลับไปเต็ม ๆค่ะ ขอให้คุณค้นพบวิธีการออกกำลังกายที่คุณชอบนะคะ แล้วคุณจะทำได้อย่างยั่งยืนค่ะ ทำไมพิลาทิสดูง่าย
เราเคยเห็นคนฝึกพิลาทิส มองไป ท่าก็ดูง่าย และเราก็คิดว่ามันคงง่าย บางทีก็น่าเบื่อด้วยซ้ำ.. การเคลื่อนไหวพื้นฐานหลาย ๆ ท่าของพิลาทิส เราดูและใช้จินตนาการตามได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องคิดเยอะ แต่ ..ทำไมพิลาทิสถึงไม่ง่ายอย่างที่คิด เราเคยลองฝึกพิลาทิสที่ดูง่ายๆ แล้วกลับเป็นว่า มันไม่ใช่อย่างที่คิดนิ ? ด้วยการเคลื่อนไหวง่ายๆ แต่ละครั้ง เรากำลังพยายามสร้างรูปแบบใหม่ๆ ในร่างกายของเรา จนเป็นนิสัยใหม่ ดังนั้น มันจึงไม่ใช่แค่การนอนหงายแล้วยกเข่าข้างหนึ่งขึ้นและลง สิ่งที่ชาเล้นจ์ คือ การค้นหาความสมดุลระหว่าง “สิ่งที่ต้องทำ” กับ “สิ่งที่ไม่ควรทำ” เช่น ให้นอนหงายและยกเข่าข้างหนึ่งขึ้น เราจะต้อง: หายใจออก ( เพื่อ activate แกนกลางลำตัวมัดลึก ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ทำให้จุดศูนย์ถ่วงของเราคงที่ มันก็จะแปลก ๆ สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ยังไม่ทราบหรือไม่เคยตระหนักถึงอุ้งเชิงกรานรวมถึงช่องท้องส่วนลึก) ยกเข่าข้างหนึ่งขึ้นโดยที่เชิงกรานไม่เอียง (ออกแรงกดที่กระดูกสันหลังโดยไม่จำเป็น) รักษาซี่โครงไว้ไม่ให้ pop up (การที่ซี่โครงแอ่นขึ้นในท่านี้ จะสร้างแรงกดในกระดูกสันหลังโดยไม่จำเป็นและยากต่อการรักษาจุดศูนย์กลาง) ไหล่ไกลจากหู ( บ่าของคนส่วนใหญ่มากจะยกตลอดเวลา โดยเฉพาะคนที่หายใจตื้น รวมถึงการที่เราฮึบที่จะทำอะไรบางอย่าง - ผลคือ เมื่อยคอ ) และ หายใจเข้า (ความพยายาม และโฟกัสมากเกินไป บางทีก็ทำให้เราเผลอกลั้นหายใจในระหว่างฝึก ซึ่งทำให้สารอาหารและออกซิเจน ไปไม่ถึงกล้ามเนื้อที่ต้องใช้งาน) ที่พูดมาทั้งหมดนี้ อยู่ในกรอบเวลาประมาณ 2 วินาที เราต้อง in sync กับร่างกาย ในการสร้างนิสัยใหม่ และอาศัยการทำซ้ำๆ หลายพันครั้ง ทำให้เราถึงจุดนั้น ขณะที่ฝึกพิลาทิส จึงเป็น process ของร่างกาย ในการ "ละ" นิสัยที่ไม่เป็นประโยชน์ ที่ทำให้สิ้นเปลืองพลังงาน และ เพิ่ม load ที่ไม่จำเป็นต่อข้อต่อที่ไม่ควรจะต้องถูกใช้ ในการฝึกร่างกายของเราใหม่ ให้เคลื่อนไหวง่ายๆ ต้องอาศัยการฝึกฝนและโฟกัส “As much as necessary, as little as possible” "เท่าที่จำเป็น น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ดังที่โจเซฟ พิลาทิสกล่าวเอาไว้ เมื่อเราคุ้นเคยและจัดการได้ การออกกำลังกายของเรา ก็จะดูง่าย และมันก็ง่ายจริง เพราะเรารู้วิธีที่จะใช้แรง และควบคุมการเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น และ นี่ คือ สิ่งที่ทำให้เรามีพลัง ...มันคือการเคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพนั่นเองค่ะ หากใครยังไม่เคยฝึกพิลาทิส คลิกลิงก์ youtu.be/NR39k0ArrpU เพื่อไปที่ช่อง BaanPilates บน YouTube นะคะ พิลาทิสฟุทเวิร์คบนเครื่องรีฟอร์มเมอร์ ขอบคุณสำหรับทุกข้อความที่ฟีดแบ็คมาให้กัน และถือเป็นกำลังใจของการสอน แม้จะผ่านทางจอ ipad, tv, หรือ มือถือค่ะ☺️
💚การได้สอนลูกค้าที่มีเครื่องรีฟอร์มเมอร์อยู่ที่บ้าน ิอย่างน้อยที่สุด เขาควรจะต้อง ฝึกการทำfootwork👣 ให้ถูกต้อง ถ้าลูกค้าทำได้ถูกในรายละเอียด เราก็มั่นใจในระดับนึงว่า เขาจะมีแนวทางใช้เครื่องรีฟอร์เมอร์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในระดับที่เขาควรจะทำได้ 🤔ฟุทเวิร์คบนรีฟอร์มเมอร์ ( footwork on reformer) น่าเบื่อมั้ย? เราว่าอยู่ที่คนฝึก บวกคนสอน ธรรมชาติของท่าฟุทเวิร์ค เป็นท่าที่ straightforward ไม่ซับซ้อน ไม่เร็วมากและ ร่างกายได้ base of support ของที่ค่อนข้างใหญ่และกว้างจาก carriage ทำให้ผู้ฝึก ฝึกได้ง่าย flow ง่าย เคลื่อนไหวง่าย และเมื่อมาถึงเลเยอร์ของการใช้รายละเอียดร่างกาย ที่ก็จัดว่าไม่ยาก ไม่ซับซ้อนจนเกินไป นักเรียนบางท่าน ก็อาจ bypass ประเด็นนี้ อาจเพราะไม่แน่ใจคอนเซ็ปท์ของการฝึก หรืออาจเป็นเพราะร่างกายไม่ได้ ในช่วงเวลานั้น หรือใจไม่ว่างก็มีส่วน บางคน body awareness +ร่างกายพร้อมระดับนึง ก็เข้าใจและรับรู้ร่างกายตัวเองได้ไว ก็ correct ตัวเองได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน ที่ขึ้น รีฟอร์มเมอร์ปุ๊บและทำได้ถูกปั๊บในครั้งแรก ที่พูดมานี่ รวมถึงตัวเองด้วยเช่นกัน 😅 พิลาทิส "ในทุกๆ การเคลื่อนไหวมีจุดประสงค์และเป้าหมาย" ค่ะ แน่นอน... โจเซฟ พิลาทิส คงไม่ได้ประดิษฐ์เตียงติดสปริง และมีท่าฟุทเวิรฺ์คแค่ให้ดันเครื่องออก และปิด เครื่องกลับเข้ามา หากเป็นแค่นั้น ศาสตร์พิลาทิส คงไม่มีอะไรให้น่าค้นหา และคงไม่เป็นที่ยอมรับในแวดวงกีฬาและทางการแพทย์ในต่างประเทศ ส่วนหนึ่งที่จะทำให้ท่าฟุทเวิร์คมี journey ของมัน คือความเสถียร ความนิ่ง หรือที่เรียกว่า stability not regid ที่ช่วงเชิงกราน กับหลังล่าง หรือที่เรียกว่าช่วง Lumbo-Pelvic Region เราว่า หากคนฝึกเข้าใจในจุดมุ่งหมายนี้ ก็จะทำให้ผู้ฝึกเองก็จะพบความสนุกของท่านั้น, และความน่าค้นหาของร่างกายเราเอง เราจะใช้กล้ามเนื้อได้อย่างแม่นยำ หรือความ precision บวกกับการให้ reformer เป็นตัวให้ฟีดแบ็คกลับมา 🎯ดังนั้น การที่เราตั้งใจที่จะทำ หรือควบคุมอะไรซักอย่าง มันต้องอาศัยการโฟกัสของใจไปที่ร่างกาย โฟกัสได้ในช่วงเวลานึงอย่างต่อเนื่อง มันก็มีสมาธิ ถ้าไม่เปลี่ยนท่าไปก่อน มันก็ยิ่งดิ่งลงลึกหรือ dive deeper มากขึ้น เราว่า มันจึงเหมาะสม ที่เค้าจัดให้เป็นท่าแรกๆของซี่รี่ย์ ทั้งเหตุผลทางด้านการ warm up ร่างกาย และการเตรียมจิตใจให้พร้อมกับการฝึกพิลาทิส แต่ทั้งนี้ ผู้สอนบางท่านอาจจะไว้ท้ายๆนั่นก็อาจมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป ✨หากย้อนกลับมา ที่หลักการฝึกพิลาทิสแบบคลาสสิค ซึ่งมีอยู่ 6 อย่าง ได้แก่ ✔️Control ✔️Breath ✔️Concentration ✔️Flow ✔️Centering ✔️Precision เราก็จะเห็นว่า ท่าบริหารที่ดูเหมือนธรรมดาๆของ พิลาทิส ต่างย่อมต้องใช้หลักการที่ดู"เหมือน" เป็นเรื่อง"นามธรรม" เป็นพื้นฐานของการฝึกสิ่งที่เป็น"รูปธรรม" เราว่า นั่นคือเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ พิลาทิสจัดเป็น mind and body exercise ดังนั้น ถ้าเรา mind กับ body เราconnect กันได้ เราก็ได้ประโยชน์เต็มที่ มาถึงตรงนี้ หวังว่า จะทำให้หลายคนได้ สนุกและค้นพบร่างกายตัวเองมากขึ้นจากการทำฟุทเวิร์คบนรีฟอร์มเมอร์ และฝึกพิลาทิสได้อย่างมีความหมายมากขึ้นค่ะ With ❤️ of Pilates, . . . . . . . . #พิลาทิส #รีฟอร์มเมอร์ #พิลาทิสรีฟอร์มเมอร์ #พิลาทิสเชียงใหม่ Please scroll down for English version
พิลาทิส ไม่ใช่แค่ออกกำลังกาย ใช้แรงให้เหนื่อยและหนัก แต่ละท่าและทำให้ครบ rep. แต่เราว่า พิลาทิสเป็นเรื่องของการรู้จักการใช้ร่างกายในการเคลื่อนไหวให้เหมาะสมไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อส่วนไหน recruit ส่วนไหน release ในท่านั้นๆ เพื่อลด tension ของกล้ามเนื้อ การ synchronization ของการหายใจเข้าและออกไปกับการเคลื่อนไหว การ adjustment ร่างกายอย่างเบาบางละมุนละไมหรือ subtle แต่ทำให้ร่างกายมี alignment ที่ถูกต้อง และให้ความสนใจกับฟอร์มและการจัดวางตำแหน่งร่างกาย จะทำได้ ก็ต้องมีสมาธิ สติมาโฟกัสกับปัจจุบัน กับร่างกาย กับการหายใจ ร่วมกับใช้ self observation สำรวจร่างกาย ทั้งในแง่การจัดวางร่างกาย ระดับความ tension ของส่วนต่างๆ รู้จักการ แยกส่วน หรือ isolate และการเอามาใช้ร่วมกัน intergrate มีการใช้ visualization เพื่อ associate กับการเคลิ่อนไหวได้ดีขึ้น พิลาทิสจึงไม่ใช้แค่เรื่อง physical แต่เป็นเรื่องของ mental ด้วย เพราะเราต้องโฟกัสกับร่างกาย ลมหายใจ ทำให้เราต้องอยู่กับปัจจุบัน + การใช้ self observation ทำให้เราเรียนรู้ว่าข้อจำกัด ความสามารถ ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเราเอง เห็นความเปลี่ยนแปลง เห็นความไม่แน่นอน มันทำให้เกิด self awareness และเกิดผลลัพธ์กับร่างกาย เราจึงหลงรักในศาสตร์ลาทิส เพราะเป็นการฝึก mind and body connection และ mindfulness แบบจับต้องได้ ....................................................................... We all heard that Pilates is the physical exercise . And you know what? Being physical may not necessarily mean that the all muscles have to be fully recruited all the time. In Pilates we also have to learn how to ease or minimize muscular tension, and how to make subtle correction to perform exercise efficiently, those will make us move gracefully and get the most benefits of Pilates To do so, we require the concentration on muscular movements, synchronization with breathing pattern and attention to form and alignment. These also triggers our mind to stay in present giving us a sense of calmness and gain self awareness through self observation. This is one of many reasons Im fascinated by Pilates method because it is such a tangibly way to learn to connect our mind to our body. And that is why Pilates is called mindful movement. สมัยเมื่อฝึกพิลาทิสแรกๆ one on one ในปี 2002 ตอนนั้นเรารู้แค่ว่า พิลาทิสก็คือ พิลาทิส ไม่ได้สนใจว่า ที่เราฝึกอยู่ คือ พิลาทิสดั้งเดิม(Classical) หรือ พิลาทิสแบบประยุกต์ (Contemporary) แต่ครูสอนคนแรกของเราตอนนั้น เป็น STOTT PILATES เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆที่ฝึกก็เป็นของ STOTT PILATES เช่นกัน ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลให้เราคุ้นเคยกับแนวทางการฝึกและอุปกรณ์และนำ้หนักสปริงของยี่ห้อนี้ค่ะ ทุกวันนี้ มี Certification Program เกิดขึ้นมากในประเทศไทย มีตั้งแต่จากสถาบันชั้นนำที่ได้มาตรฐานระดับโลก ซึ่ง Host โดยสตูดิโอในไทย , ตลอดจน certification ที่ made in Thalland รวมถึงการเทรนแบบ in-house studio เพื่อสร้าง instructor ไว้ใช้สอนพิลาทิสในแนวทางของสตูดิโอเฉพาะที่ก็มี ดังนั้น การจัดโปรแกรม การควบคุมคุณภาพ ก็หลากหลาย ทำให้รูปแบบการสอนพิลาทิสมีความต่างกัน และยังขึ้นอยู่กับองค์ความรู้ ความเข้าใจและประสบการณ์ผู้สอนด้วย กลับมาเรื่องเดิม แล้วอะไร คือ คำจำกัดความของ Classical Pilates และ Contemporary Pilates? ขออนุญาตเอาแบบกระชับนะคะ Classical Pilates หมายถึงพิลาทิสที่ยังคงหลักการ รูปแบบวิธีการ แบบดั้งเดิมเป๊ะๆ ตามที่ Josept Pilates กำหนดไว้ทุกครั้ง โดยไม่มีการ modification แต่เนื่องจาก Josept Pilates เสียชีวิตไปตั้งแต่ 1967 ดังนั้น รูปแบบวิธีการสอนแบบดั้งเดิม ก็จะถูกถ่ายทอดผ่านทางคนที่ได้เรียนโดยตรงจาก Josept Pilates และหนึ่งในนักเรียนของ Josept Pilates ที่ได้รับการยอมรับว่า ยังคงหลักการดั้งเดิมที่แท้จริง คือ Romana Kryzanowska ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อปี 2013 ส่วน Contemporary ก็คือ อะไรก็ตามแต่ ที่มาทีหลัง Classical แล้ว STOTT PILATES ล่ะ คืออะไร STOTT PILATES จัดเป็น Contemporary Pilates โดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ร่วมกับเทคนิคเฉพาะทางด้านกายวิภาคศาตร์, สรีรศาสตร์, ชีวกลศาสตร์และการบำบัดฟื้นฟูรักษา เป็นพื้นฐานหลัก STOTT PILATES พัฒนาโดย Moira Merrithew ร่วมกับทีมนักเวชศาสตร์การกีฬา, นักกายภาพบำบัด และ ผู้เชี่ยวชาญในสายงานการออกกำลังกาย Moira Merrithew หรือนามสกลุเดิม คือ Stott อดีต principal dancerของ the City Ballet of Toronto และ the Atlantic Ballet Company, ต่อมามีปัญหาบาดเจ็บที่คอ บางแหล่งข้อมูลว่าที่เท้า ทำให้ไม่สามารถเต้นบัลเล่ต์ต่อไปได้ และได้ไปศึกษา ฝึกฝนพิลาทิสที่อเมริกาและCertified กับ Romana Kryzanowska สื่งที่ ทำให้ STOTT PILATES แตกต่างจาก Classical คือ . . . ต้องเริ่มมาจากเป้าหมายก่อนค่ะ เป้าหมายของ STOTT PILATES ชัดเจนมาก คือ การทำให้กระดูกสันหลังของเรากลับมาสู่ 3 Natural Curves และแต่ละ curve ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน นะคะ เราไม่สอนให้ exaggerate lordotic curve และเราก็ไม่ได้สอน ให้ นักเรียน flaten lower back โดยการ press หลังล่างลงเพื่้อให้เป็น imprinted--- It's a No No ! 2 สิ่งนี้ มีรายละเอียดในการexecute ที่ถูกต้องอยู่ ที่ต้องเอ่ยเรื่องนี้ เพราะ ทำให้หลายคนเข้าใจSTOTT PILATES ผิดไปค่ะ นอกจาก เรื่อง 3 Natural Curvesแล้ว อีกเป้าหมายคือเพื่อปรับสมดุลย์ให้กับกล้ามเนื้อมัดลึกที่อยู่รอบข้อต่อของเรา ค่ะ ด้วยเป้าหมายตามที่บอกไวั ทำให้เแนวทางการฝึกของ STOTT PILATES มีความแตกต่างจากพิลาทิสดั้งเดิมค่ะ STOTT จะเน้นเรื่องการ maintain หรือการรักษาไว้ซึ่ง 3 Natural Curves ในระหว่างฝึก ในขณะที่ Classical จะเป็น Flat Back ตลอด นั่นคือ ต่างที่ 1, ( และSTOTT PILATES จะ imprinted position หรือ flat back alignment ในช่วงที่ขาเป็น open kinetic chain ) ต่างที่ 2 คือ การลำดับท่าออกกำลังกาย และอีกต่างสุดท้าย คือ STOTT PILATES มีการใช้ props และมี modification ทั้ง เพื่อ regression และ progression ให้เหมาะกับแต่ละคน นอกจากนี้ยังมีเรื่อง หลักการ STOTT PILATES มี 5 หลักการพื้นฐานที่จะเป็นเรื่องของกายวิภาคและสรีรศาสตร์ ในขณะที่ Classical จะมี 6 หลักการ ที่มีเรื่อง mind และ mind and body connection มาเกี่ยวข้องด้วย หลักการของ STOTT PILATES 1.Breathing 2. Pelvic Placement 3. Ribcage Placement 4. Scapular Movement and Stabilisation 5. Head and Neck placement อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ STOTT PILATES ได้ตามลิงค์นี้ค่ะ STOTT PILATES® method หลักการของ Classical PILATES
ถามว่า แล้ว STOTT กับ Classical แบบไหนดีกว่ากัน? เราว่าดีทั้งคู่ ตราบใดที่ ผู้สอนมีความรู้ ความเข้าใจใน method ที่ตัวเองสอนอย่างลึกซึ้งและถูกต้อง และไม่ถูก dilute ไปกับสิ่งที่เป็นแค่กระแส และสอนนักเรียนด้วยความใส่ใจ และรับผิดชอบค่ะ (และเยอะจุง) ครั้งที่แล้ว เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของเก้าอี้พิลาทิส (ย้อนกลับไปอ่านได้ตามลิ้งค์นี้นะคะ http://pilateswithpiradee.weebly.com/blog/archives/11-2018) ครั้งนี้มาพูดต่อ เรื่องการฝึกพิลาทิสกับอุปกรณ์พิลาทิสเก้าอี้ชิ้นนี้กันค่ะ (PILATES CHAIR) จริงๆแล้ว เก้าอี้สามารถฝึกได้ทั้งระดับของผู้ฝึกเบื้องต้น จนไปถึง ในระดับที่แอดว้านซ์ และสามารถใช้ได้กับโปรแกรมพวกหลังกายภาพบำบัด ตลอดจนเทรนนักกีฬาอาชีพ ความคิดเห็นของผู้สอนท่านอื่นอาจจะเห็นต่างกันได้นะคะ แต่สำหรับอุ๋ม อุ๋มชอบเทรนเก้าอี้นี้กับนักกีฬาค่ะ เพราะเห็นผลได้ไวในเรื่องของการเทรนความแข็งแรงของกล้ามเนื้อกลุ่มแกนกลางลำตัว น่าจะมาจากในเรื่องของลักษณะของทิศทางสปริง + ฐานที่แคบกว่า ทำให้กล้ามเนื้อกลุ่มแกนกลางลำตัวของเรา ต้องใช้โดยอัตโนมัติเพื่้อต้านทานแรง นอกจากนี้ สิ่งที่โดดเด่นของเก้าอี้ที่ต่างจากอุปกรณ์อื่น คือ ความจำเป็นที่ผู้ฝึกจะต้องควบคุม แรงสปริงของเก้าอี้ให้ได้ ค่ะ เพราะถ้าคอนโทรลไม่ได้ จะมีผลอยู่ 2 อย่าง คือ ไม่ถูกสปริงเด้ง ก็ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คือ ไม่มีการขยับใดๆ ส่วนใหญ่ถ้าฝึกพิลาทิสกับเก้าอี้ หากใช้ผิดส่วน และไม่ใช้แกนกลางลำตัว หรือไม่แข็งแรงพอ เราจะคุมแรงสปริงไม่ได้ การคุมแรงสปริงให้ได้นี้ ก็ควรมาจากการใช้ และกระจายนำ้หนักที่ถูกต้อง แล้วถามว่า ฝึกพิลาทิสกับอุปกรณ์ไหนดีกว่ากัน? อุ๋มว่า การฝึกอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้เทคนิคการใช้กล้ามเนื้อที่แตกต่างกันไปในแต่ละอุปกรณ์ และหลังจากมีการสลับอุปกรณ์ และมีการกลับมาใช้อุปกรณ์เดิม นักเรียนจะมีฝึกได้ดี มีการเชื่อมโยง ความเข้าใจในการใช้ร่างกายได้ดีขึ้นค่ะ ย้อนไปวันที่เห็นอุปกรณ์พิลาทิสนี้ช่วงแรก ตอนนั้น ยังฝึกพิลาทิสแบบส่วนตัวกับคุณครูไพรเวท แต่เรายังเป็นแบบเบๆ อยู่ ความรู้ เข้าใจยังน้อยมาก แอบคิดในใจ ทำไมคาดิแลค (Cadillac) หรือรีฟอร์มเมอร์ (Reformer) ดูน่าเชิญชวนให้ฝึกกว่าตั้งเยอะ สงสัยคงเป็นเพราะลุคที่ดูบึกๆตันๆ ของพิลาทิสแชร์
เวลาผ่านไป สนใจมากขึ้น เรียนคอร์สเป็น instructor 8 ต้องเรียนต้องสอบ ทำให้ต้องฝึกซำ้ๆไปมา” จน หลงรัก ชีวิตติดสปริงบน เก้าอี้พิลาทิส ติดแล้วเด้งตก ! หรือ ติดแล้วสั่งได้! สปริงขึ้นแล้ว เราสั่งให้หยุดด จอดครึ่งทางได้มั้ย หรือสั่งให้ร่างกายคุมสปริงที่ติดพื้น ขึ้นให้ขึ้นมาได้มั้ย เห็นจากหลายนักเรียนไม่ว่าจะหญิงหรือชาย เจอเก้าอี้เมื่อไหร่ โหยกลับไปเป็นแถวววว แล้วทำไม ต้องเป็น “เก้าอี้”? ในขณะที่ Reformer และ Cadillac มี base หลักมาจากเตียง นั่นเป็นเพราะว่า โจเซฟ พิลาทิส ตั้งใจอยากให้คนทั่วไปได้เข้าถึงศาสตร์พิลาทิส เขาจึงคิดประดิษฐ์ อุปกรณ์การฝึกพิลาทิส ที่มีขนาดกระทัดรัด เคลื่อนย้ายได้สะดวก ประกอบกับการได้แรงบันดาลใจสมัยที่เขาเคยทำงานในคณะกายกรรมละครสัตว์ ก่อนที่จะถูกจับเป็นเชลยศึกในสมัยสงครามลงครั้งที่ 1 (ย้อนกลับไปอ่านประวัติของโจเซฟพิลาทิสในบล็อกเก่าของอุ๋มได้ตามลิงค์นี้ค่ะ ) ทำให้เขามีโอกาสได้เห็นและคอยสังเกตนักกายกรรมชาวจีนแสดงกายกรรมบนเก้าอี้ ดังนั้น เพื่อตอบโจทย์ เขาเลยประดิษฐ์ เก้าอี้ที่มีที่เหยียบเท้าขึงด้วยสปริง เก้าอี้นี้มีขนาดกระทัดรัดเพื่อไว้ในบ้านได้ โดยตัวโจเซฟเอง เอาเก้าอี้ตัวนี้ไปวางไว้ที่ห้องรับแขก เพื่อใช้เป็นเก้าอี้ในอพาร์ตเม้นท์ของเขา แต่ยังคง function เรื่องการออกกำลังกายโดยใช้แรงต้านของสปริง และเรียกสิ่งประดิษฐ์นี้ตัวนี้ว่า Pilates Wunda Chair ™. ( อ่านว่า วุน-เด้อ แชร์ แปลป็นภาษาอังกฤษ คือ Wonder แปลเป็นภาษาไทยเรา ก็คง เก้าอี้อัศจรรย์ ประมาณนั้นค่ะ) ในเวลาต่อมา มีชื่อเรียกที่ต่างกันไป ซึ่งก็เป็นชื่อทางการตลาดนั้น อย่างSTOTT PILATES จะเรียกชื่ออุปกรณ์นี้ว่า “ STABILITY CHAIR” รู้ที่มาที่ไปของพิลาทิสแชร์ ครั้งหน้าจะมาพูดถึงการฝึกพิลาทิสกับเก้าอี้กันค่ะ |
AuthorOum Piradee Archives
April 2024
Categories |